Page 34 - ebook.msu.ac.th
P. 34

ค่านิยมของชาวอีสานในอดีตก็มักจะมีความมุ่งหวังที่จะต้องสร้างเรือนให้ได้ ซึ่งเรียกกันว่า “เรือนใหญ่”
                      เรือนใหญ่หรือเรือนประธานที่อยู่ด้านในหลังสุด จะประกอบด้วยห้อง ๓ ห้อง คือ ห้องเปิงหรือห้องผี/
               ห้องพระ, ห้องกลาง หรือห้องนอนพ่อแม่และ ห้องส้วม

                      ห้องส้วมที่มีอยู่ในเรือนอีสานแต่เดิม ไม่ใช่ห้องน้ำหรือห้องสำหรับถ่ายในทัศนะทั่วไปในสังคมปัจจุบัน
                      ชาวอีสานแต่ก่อนเขาออกไปถ่ายไปขี้กันตามป่าตามสวนหลังบ้านหรือตามสุมทุมพ่มุ ไม้ใกล้หมู่บ้าน

               ในตอนเช้ามืดเป็นประจำ โดยมักจะถือเสียมและไม้แก้งหรือไม้เช็ดไปด้วยเสมอ เดี๋ยวนี้ตามบ้านนอกชนบทก็ยัง
               มีทำกันอยู่บ้าง
                      ห้องส้วมในเรือนอีสานที่ว่านี้คือ “ห้องนอน” ห้องหนึ่งที่อยู่ริมด้านหนึ่งของตัวเรือน แต่เดิมมักจะเรียกกันว่า

               “ท้ายเรือน” ซึ่งจะอยู่ห้องตรงข้ามกับ “ห้องเปิง” ที่เรียกกันว่า “หัวเรือน” โดยมีห้องนอนของพ่อแม่อยู่ตรงกลาง
               จนเรียกกันว่า “ห้องกลาง”

                      ถ้าสร้างหันหน้าเรือนไปทางทิศตะวันออก ห้องส้วมก็มักจะอยู่ทางทิศใต้ แต่ถ้าหันหน้าเรือนไปทาง
               ทิศเหนือ ห้องส้วมก็มักจะอยู่ทางทิศตะวันตกเพราะห้องเปิงซึ่งเป็นห้องผีหรือห้องพระ มักนิยมเอาไว้ทิศเหนือ
               และทิศตะวันออกเสมอ

                      ปกติแล้วสังคมครอบครัวชาวอีสานในอดีต จะให้ความสำคัญกับลูกสาวมากกว่าลูกชาย โดยจะมอบ
               มรดกให้กับลูกสาวเป็นหลัก เพราะค่านิยมเอาลูกเขยเข้าบ้านมาอยู่ร่วมเรือน เพราะลูกเขยจะเป็นแรงงานสำคัญ

               ในการทำมาหากิน
                      ฉะนั้น เมื่อมีลูกโตๆ กันแล้วพ่อแม่ของครอบครัวนั้นจึงมักจะต้องสร้างเรือนใหญ่ที่มีขนาด จำนวน
               ๓ ห้องให้ได้ โดยตัวพ่อแม่จะนอนอยู่ห้องกลาง ส่วนลูกผู้หญิงที่โตเป็นสาวแล้วจะให้นอนรวมกันอยู่ใน ห้องส้วม

               ที่อยู่ถัดไปทางด้านท้ายเรือน พวกลูกที่ยังเล็กๆ ก็จะให้นอนรวมอยู่กับพ่อแม่หรืออาจจะนอนกับพี่ๆ ก็ได้ แล้วแต่
               จะสะดวกและต้องการ

                      ลูกผู้ชายที่โตเป็นบ่าวเป็นหนุ่มแล้ว ช่วยตัวเองได้ ไปตกที่ไหนก็งอกที่นั่น จึงให้อยู่ให้นอน
               บ่อนใด๋บ้านไหนและเรือนใครก็ได้ ไม่ค่อยเสียหายในทัศนะสังคมเท่าลูกสาว
                      แม้จะเป็นแรงงานในการทำมาหากินที่เข้มแข็งดีก็ตาม แต่ลูกชายก็มักจะบังคับเรียกใช้ได้ยากกว่า

               ลูกเขย และที่สำคัญก็คือ เมื่อแต่งงานแล้ว ก็ต้องออกไปอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิง จึงเป็นเพียงแรงงานชั่วคราว
               ในครอบครัวเท่านั้น

                      เมื่อลูกสาวคนแรกแต่งงาน (ปกติจะให้ลูกสาวคนโตแต่งงานก่อน) แล้วต้องเอาลูกเขยมาอยู่ด้วยตาม
               ค่านิยมที่มีผญาภาษิตชี้นำกำหนดให้ต้องทำว่า “เอาเขยมาเลี้ยงพ่อเฒ่าแม่เฒ่า ปานได้ข้าวมาใส่เล้าใสเยีย
               เอาลูกใภ้มาเลี้ยงปู่เลี้ยงย่า ปานได้ผีห่ามาใส่เฮือนใส่ชาน” เขาก็จะให้เข้ามาอยู่ใน ห้องส้วม นี้แหละ

                      ถ้าครอบครัวนั้นมีลูกสาวหลายคนก็จะให้ขยับขยายย้ายไปนอนในห้องกลางแทนพ่อแม่ เพราะมิดชิด
               เป็นสัดส่วนดี ส่วนพ่อแม่ก็ต้องขยับออกไปหาที่นอนใหม่แถวๆ ห้องกลางหรือไม่ก็เข้าไปนอนในห้องเปิงเลย

                      พวกน้องๆ จะเรียกพี่เขยว่า “พี่อ้าย” เมื่อพี่อ้ายเข้ามาอยู่ในห้องส้วมแล้ว จึงทำให้ห้องส้วม ซึ่งเคยเป็น
               ที่นอนของลูกสาวและจนเป็นที่นอนของพี่อ้ายถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “บ่อนนอนพี่อ้าย” คือ ห้องนอนพี่เขย
               นั่นเอง

                      เนื่องจากเรือนใหญ่มีห้องจำกัดอยู่เพียง ๓ ห้อง หลัก ๆ เท่านั้น ห้องเปิงซึ่งเป็นห้องผีและห้องพระก็ใช้
               นอนได้เฉพาะลูกชายกับพ่อแม่เท่านั้น ไม่นิยมให้ลูกสาวนอนและมีความเชื่อ “คะลำ” ห้ามเขยเข้าไป




                                                          32
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39