Page 47 - ebook.msu.ac.th
P. 47
ไม่ค่อยมีปัญหากันเท่าใดนัก เพราะการส้าวนาในลักษณะที่เรียกว่าหักร้างถางพงขยายที่ดินทำกินกันเองได้ไม่
ยากนัก แต่ต่อมาภายหลัง ขยับขยายที่ดินทำกินกันเองได้ยากและขยายกันเองไม่ได้แล้ว จึงได้มีการแบ่งมรดก
ให้กับทั้งลูกสาวและลูกชาย
ที่พักอาศัยแบบต่างๆ ในสมัยก่อนจึงเป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกขนาดครอบครัว ความขยันหมั่นเพียรของ
หัวหน้าครอบครัวได้ ซึ่งเป็นเหมือน สถานภาพทางสังคม ของครอบครัวนั้นนั่นเอง คือเมื่อออกจากตูบต่อเล้า
ไปสร้างเหย้าแล้ว ต่อไปก็จำเป็นต้องขยับขยายที่อยู่อาศัย ไปสู่การสร้างเรือนใหญ่ต่อไปให้ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
เพราะทั้งเรือนใหญ่และเล้า เป็นเครื่องบ่งบอกคุณค่าของคนในครอบครัวได้
เหย้า : เส้นทางการสร้างครอบครัวใหม่
ดังได้กล่าวมาแต่ตอนต้นๆ แล้วว่า การที่คู่แต่งงานชาวอีสานแยกครอบครัวออกจากครอบครัวรวม
(Stem Family) ไปอยู่กันเองเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) ด้วยเหตุผลความจำเป็น หรือตามความ
ต้องการเมื่อถึงเวลาอันสมควรนั้น ถ้ายังไม่มีความพร้อมเรื่องวัสดุอุปกรณ์ที่จะสร้างที่พักอาศัยเท่าที่ควร ก็มัก
จะแยกออกไปสร้างตูบต่อเล้า เป็นเพิงยื่นออกจากเล้าข้าวของพ่อแม่ / พ่อเฒ่าแม่เฒ่า แล้วยกพื้นอยู่อาศัย
ชั่วคราวก่อน หรืออาจจะแยกออกไปสร้างตูบเหย้าหรือเหย้าแบบดั้งต่อดินอยู่กันเลยก็มี และก็มีจำนวนไม่น้อย
ที่แยกออกไปสร้างเหย้าแบบดั้งตั้งคานเลย โดยไม่ต้องผ่านการสร้างที่อยู่อาศัยแบบต่างๆ ดังกล่าว
จากหลักฐานการแยกครอบครัวออกไปอยู่เหย้ากันเองทั่วๆ ไปนั้น พบว่าในอดีต มักจะไม่รู้สึกกันว่า
เป็นคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจนหรือต่ำต้อยแต่อย่างใด เพราะการแยกครอบครัวออกไปอยู่ตูบ - เหย้านั้น
จะสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระยะเวลา, ความพร้อมและค่านิยมสังคม ที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ต้องทำกันเช่นนั้น
มากกว่า เนื่องจากการแยกออกไปอยู่ในที่พักอาศัยดังกล่าว เป็นความเหมาะสมกับขนาดของครอบครัวเดี่ยว
ที่อยู่กันเพียงพ่อแม่และลูกๆ ที่ส่วนมากก็ยังเล็กๆ อยู่ ยังไม่มีความจำเป็นต้องสร้างเรือนใหญ่ก็ได้ ฉะนั้นจึงพบว่า
แต่ก่อนจะไม่มีใครแยกออกไปสร้างเรือนใหญ่อยู่ทันทีกันเลย เพราะการสร้างเรือนใหญ่จะต้องอาศัยความพร้อม
ในหลายๆ อย่างมากพอสมควร เช่น วัสดุอุปกรณ์การก่อสร้าง เวลาในการเตรียมวัสดุแรงงาน ฯลฯ ทั้งยังจะต้อง
มีพิธีกรรมความเชื่อในการเตรียมวัสดุและการก่อสร้างในหลายๆ ขั้นตอนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกมาก จนเหมือน
จะเป็นที่รู้และยอมรับกันทั่วไปว่า เป็นการยากที่จะสร้างเรือนใหญ่ได้ในทันที
ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปรกติที่ครอบครัวใหม่ในอดีต จะต้องแยกออกไปอยู่ตูบ - เหย้ากันก่อน จนเป็นค่านิยม
ของสังคมอีสานเรื่อยมา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นที่รู้และเข้าใจกันในสังคมว่า เมื่อแยกครอบครัวใหม่ออกไปแล้ว
ก็จะมุ่งมั่นที่จะสร้างครอบครัวให้อยู่ในฐานะดีขึ้น ด้วยการทำมาหากินในที่ดินมรดกและทำการส้าวนาขยาย
ที่ดินทำมาหากินให้มากขึ้น เพราะนั้นคือการที่จะได้วัสดุไม้จริงจำนวนหนึ่งมาสร้างเรือนใหญ่ไปพร้อมกันด้วย
จากหลักฐานข้อมูลสนาม เกี่ยวกับการแยกครอบครัวออกไปสร้างตูบ - เหย้านี้ มีพบว่าจะมีเฉพาะ
เหย้า (แบบดั้งตั้งคาน) เท่านั้น ที่พ่อบ้านซึ่งอยู่ในฐานะผู้นำครอบครัว มักจะยกหิ้งเปิงให้เป็นเสมือนสัญลักษณ์
ของความเชื่อเรื่องผี ที่จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอำนาจปกครองของครอบครัวใหม่ ที่จะต้องมีลูกเขยจากตระกูล
อื่นมาอยู่ร่วมด้วยในวันข้างหน้า เพียงแต่ว่าหิ้งเปิงหรือหิ้งผีดังกล่าว ที่ยกขึ้นไปในห้องหนึ่งนี้ ยังไม่เรียกว่าห้อง
เปิงเท่านั้นเอง เพราะเหย้ายังไม่มีห้องเปิงเป็นเอกเทศโดยเฉพาะ
45