Page 67 - ebook.msu.ac.th
P. 67
ความเชื่อในการสร้างเล้าข้าว
อาจจะด้วยเหตุที่ข้าวเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตของคนอีสานมากตามประสาสังคมที่ต้อง
ช่วยตัวเองนี้กระมังที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าวต้องพลอยมีความสำคัญตามไปด้วยจนกระทั่ง
มีความเชื่อต่างๆ เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นพฤติกรรมทางสังคมที่ยึดถือปฏิบัติกัน
เรื่อยมาซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นมรดกทางสังคมและวัฒนธรรมของอีสานในลักษณะข้อห้ามต่างๆ เช่น
๑. ห้ามหันประตูเล้าข้าว (หันด้านหน้า) ไปทางทิศดาวช้าง (ดาวจระเข้) ปรกติดาวจระเข้จะขึ้นทาง
ทิศเหนือเสมอ นั่นก็คือห้ามสร้างเล้าข้าวหันหน้าไปทางทิศเหนือนั่นเอง เพราะเชื่อกันว่าถ้าสร้างเช่นนั้นแล้ว
จะเป็นการหันประตูไปทางปากช้าง (เล้าข้าวจะมีประตูอยู่ทางด้านหน้าเพียงช่องเดียวและด้านเดียวเท่านั้น)
แล้วช้างจะกินข้าวอันจะเป็นเหตุให้สูญเสียข้าวอยู่เรื่อยๆ จนต้องหมดไปเร็วกว่าที่ควร แม้ว่าเจ้าของจะพยายาม
ใช้ทีละเล็ก ทีละน้อยก็ตาม แต่จะไม่ค่อยเหลือเก็บนั่นคือจะสร้างตัวไม่ได้นั่นเอง
๒. ห้ามหันประตูเล้าข้าวเข้าหาเรือนนั่นคือห้ามไม่ให้สร้างเล้าข้าวและเรือนพักอาศัยของตนประจัน
หน้ากัน ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเหตุผลเรื่องความสะดวกสบายในการขนข้าวเข้า-ออกเป็นสำคัญก็ได้
๓. ไม่นิยมสร้างเล้าไว้ในตำแหน่งทิศหัวนอนของเรือนพักอาศัย ทั้งนี้เพราะเชื่อกันว่าจะเป็นการนอน
หนุนข้าว และจะเป็นเหตุให้สมาชิกในครอบครัวต้องเจ็บป่วยไม่สบาย มีภัยพิบัติจนหาความสงบสุขได้ยาก
๔. ห้ามย้ายเล้าข้าวไปสร้างในทิศตรงกันข้าม คือถ้าได้มีการสร้างเล้าข้าวไว้ที่ทิศใดทิศหนึ่งของเรือน
พักอาศัยแล้ว หากจะต้องการสร้างใหม่ หรือต้องการจะโยกย้ายเล้าข้าว ห้ามไม่ให้ย้ายไปสร้างใหม่ในทิศที่
ตรงกันข้ามกับที่เคยสร้างไว้เดิมเป็นอันขาด ทั้งนี้เพราะเชื่อกันว่า จะทำให้ครอบครัวนั้นทำมาหากินลำบาก
มีแต่ความทุกข์ยาก หาได้ไม่ค่อยจะพอกิน จะมีความขัดสนในการสร้างตัว ตลอดจนอาจจะเป็นเหตุให้สมาชิก
ในครอบครัวเกิดเจ็บป่วยได้อีกด้วย
๕. เล้าข้าวที่ถูกรื้อแล้วห้ามนำไม้ไปสร้างเรือนพักอาศัย ฯลฯ
ข้อห้ามต่างๆ ดังกล่าวมานี้ มิได้หมายความว่าชาวอีสานจะต้องปฏิบัติและเชื่อถือตามนี้ทั้งหมด
แต่เป็นข้อห้ามที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในอีสานปัจจุบันบ้างเท่านั้น
แม้ว่าข้อห้ามที่แฝงอยู่ในลักษณะความเชื่อเหล่านี้ จะมีเหลืออยู่เพียงบางท้องที่ในอีสานและบางครั้ง
อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลในสังคมปัจจุบันก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยหรือมองข้ามไป
ในการศึกษาอดีตของสังคม-วัฒนธรรมพื้นบ้าน เนื่องจากความเชื่อดังกล่าวอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสาร
ประโยชน์แอบแฝงอยู่ด้วยก็ได้ และอาจจะสามารถสะท้อนให้เห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อให้
เกิดความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการดำรงชีวิตในสังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ของตนเองก็ได้
เพราะการศึกษาหาเหตุผลทางสังคม-วัฒนธรรมท้องถิ่นจะเป็นพื้นฐานอันมั่นคงที่จะช่วยชี้นำหรือ
กำหนดแนวทางในการพัฒนาให้ถูกต้อง เหมาะสมยิ่งขึ้น
แต่ทั้งนี้ก็ย่อมจะขึ้นอยู่กับผู้ศึกษาและนักพัฒนาว่า จะมีสติปัญญามองเห็นเหตุและผลของสิ่งเหล่านั้น
หรือไม่เพียงใด
65